7/05/2556

สุขภาพกับโรคตาในวัยทำงาน


สุขภาพกับโรคตาในวัยทำงาน
ในคนวัยทำงาน ดวงตาถือเป็นเรื่องสำคัญในการทำงาน ซึ่งในหนึ่งวัน คนในวัยทำงานจะต้องใช้สายตามากกว่าช่วงเวลาอื่นๆ ดังนั้นการถนอมดวงตาให้ปลอดภัยจากโรคต่างๆ จึงเป็นสิ่งจำเป็นที่คนในวัยทำงานต้องทำมากที่สุด
โรคตาที่พบได้บ่อยในวัยทำงานที่ควรรู้จัก ได้แก่ สายตาผิดปกติ ปัญหาจากการใช้คอมพิวเตอร์ ต้อลมและต้อเนื้อ อุบัติเหตุกับดวงตา
สายตาผิดปกติสายตาผิดปกติ คือภาวะที่ทำให้ตามัว มีลักษณะคล้ายการถ่ายภาพไม่ชัดหรือภาพไม่โฟกัส อาจเป็นสายตาสั้น สายตายาว หรือสายตาเอียง  การแก้ไขการเห็นภาพไม่ชัดจากภาวะสายตาผิดปกติมีดังนี้คือ
การใช้แว่นตา เป็นวิธีที่สะดวก ปลอดภัย โดยทั่วไปอย่างน้อยในการวัดแว่นสายตาครั้งแรก ควรได้พบจักษุแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยว่าไม่มีโรคทางตาอื่นที่รุนแรงแว่นตาควรได้รับการเปลี่ยนเมื่อการมองเห็นภาพด้วยแว่นนั้นเริ่มไม่ชัด หรือทำให้ผู้ใช้แว่นตารู้สึกปวดตาหรือปวดศีรษะ
การใช้คอนแทกเลนส์ เป็นวิธีที่ได้รับความนิยมสำหรับผู้มีปัญหาในการใช้แว่นตา คอน แทกเลนส์มีทั้งชนิดใช้ชั่วคราวแล้วทิ้ง และชนิดถาวรใช้ได้ ๑-๒ ปี โดยทั่วไปคอนแทกเลนส์ทุกชนิดให้ใส่เฉพาะเวลาที่จำเป็น ห้ามใส่นอน และควรดูแลความสะอาดอย่างถูกต้อง เพราะการใช้คอนแทกเลนส์ผิด วิธีมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อที่กระจกตา ซึ่งอาจทำให้ตาบอดได้
การใช้เลเซอร์แก้ไขสายตา เป็นเทคโนโลยีใหม่ที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย  โดยทั่วไปมักทำในผู้ที่มีอายุตั้งแต่ ๑๘ ปีขึ้นไป ที่ระดับสายตาผิดปกติเริ่มไม่เปลี่ยนแปลง และต้องไม่มีโรคประจำตัวชนิดที่เป็นข้อห้าม
ดังนั้นผู้ที่มีปัญหาสายตาผิดปกติที่สนใจจะทำเลเซอร์แก้ไขสายตา ควรปรึกษาจักษุแพทย์เพื่อตรวจสภาพตาก่อนรับคำแนะนำเพื่อการตัดสินใจต่อไป
ปัญหาจากการใช้คอมพิวเตอร์
ปัจจุบันคอมพิวเตอร์เข้ามามีบทบาทกับคนวัยทำงานเป็นอย่างมาก บางคนอาจจำเป็นต้องใช้คอมพิวเตอร์นานถึง ๘-๑๐ ชั่วโมงต่อวัน ซึ่งอาจทำให้เกิดปัญหาปวดตาจากการเพ่งสายตา เคืองตาจากภาวะตาแห้ง และตามัว
จากการเพ่งค้างของเลนส์ตา ซึ่งมีข้อแนะนำสำหรับการใช้คอมพิวเตอร์ดังนี้
เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาปวดตาจากการเพ่งหรือตามัวจากการเพ่งสายตาค้าง ควรมีการหยุดพักสายตาทุก ๓๐ นาทีของการใช้คอมพิวเตอร์ โดยการมองไปบริเวณกว้างๆ เช่นนอกหน้าต่างอย่างน้อย ๓-๕ นาทีก่อนกลับมาทำงานกับคอมพิวเตอร์ใหม่ จะช่วยลดอาการปวดตาและตาพร่าได้
เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาเคืองตาจากตาแห้ง แนะนำให้หลีกเลี่ยงการนั่งใช้คอมพิวเตอร์บริเวณที่มีลมพัด ทั้งจากพัดลมหรือเครื่องปรับอากาศ และแนะนำให้ผู้ใช้คอมพิวเตอร์กะพริบตาบ่อยๆ เมื่อรู้สึกเคืองตา หากอาการรุนแรงอาจจำเป็นต้องใช้น้ำตาเทียมจะทำให้อาการเคืองตาดีขึ้นได้
โรคต้อลมและต้อเนื้อเกิดจากเยื่อบุตาขาวสัมผัสสิ่งระคายเคือง เช่น ลม ฝุ่นหรือแสงแดดจ้าๆ เป็นระยะเวลานาน ทำให้เกิดการหนาตัวและอักเสบของเยื่อบุตาขาว ซึ่งหากมีการหนาตัวเฉพาะบริเวณตาขาว จะเรียกว่าโรคต้อลม ต่อมาหากอาการของโรครุนแรงมากขึ้น อาจลุกลามเข้าบริเวณตาดำจะเรียกว่าโรคต้อเนื้อ ซึ่งอาการของโรคต้อลมและโรคต้อเนื้อ คือ จะทำให้รู้สึกเคืองตา แสบตา ตาแดงบริเวณต้อเมื่อสัมผัสกับฝุ่น ลม หรือแสงแดดจ้าๆ ซึ่ง นอกจากจะทำให้เกิดการอักเสบของต้อแล้ว ยังทำให้ต้อลมและต้อเนื้อลุกลามมากขึ้น
ดังนั้น ผู้ป่วยโรคต้อลมและต้อเนื้อ ควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสฝุ่น ลม และแสงจ้า  นอกจากนั้นต้องไม่ซื้อยาหยอดตาจากร้านขายยามาหยอดตาเอง เพราะยาบางชนิดอาจมีส่วนผสมของสตีรอยด์ซึ่งอาจทำให้ตาบอดจาก
โรคต้อหินแทรกซ้อนได้
อุบัติเหตุกับดวงตา
ดวงตาเป็นอวัยวะที่ต้องได้รับการดูแลรักษาเป็นอย่างดี เพราะอุบัติเหตุอาจทำให้ต้องสูญเสียดวงตาไปตลอดชีวิต วิธีการป้องกันอุบัติเหตุต่อดวงตาที่พบได้บ่อยในวัยทำงานได้แก่
สิ่งแปลกปลอมปลิวหรือกระเด็นเข้าตา กรณีเป็นฝุ่นปลิวเข้าตา ห้ามใช้มือขยี้ตา เพราะจะทำให้ฝุ่นฝังแน่นในกระจกตา
ดังนั้น เมื่อมีฝุ่นปลิวเข้าตา ให้หลับตากะพริบตา น้ำตาจะล้างฝุ่นออกจากตาได้ หรืออาจใช้การลืมตาในน้ำสะอาดก็มักทำให้ฝุ่นออกจากตาได้
สำหรับกรณีสิ่งแปลกปลอมที่รุนแรงเข้าตา เช่น การตอกเศษตะปูกระเด็นเข้าตา หรือการถูกสารเคมีกระเด็นเข้าตา โดยทั่วไปในการทำงานที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุต่อดวงตา ควรใส่อุปกรณ์ป้องกันตาม
มาตรฐาน แต่หากเกิดอุบัติเหตุต่อดวงตาแล้วควรรีบไปพบจักษุแพทย์ทันที
อุบัติเหตุจากกระจกรถยนต์ เป็นสาเหตุอุบัติเหตุต่อดวงตาที่พบได้บ่อย เมื่อเกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์หากผู้ขับขี่หรือผู้โดยสารไม่คาดเข็มขัดนิรภัย จะมีโอกาสสูงที่ใบหน้าหรือดวงตาจะพุ่งไปกระทบกับกระจกหน้ารถทำให้กระจกรถบาดดวงตาทำให้ตาบอดได้
ดังนั้น ทุกครั้งที่ขับขี่หรือนั่งโดยสารรถยนต์ ต้องคาดเข็มขัดนิรภัยเสมอ เพื่อป้องกันการถูกเศษกระจกรถบาดดวงตา ทำให้ตาบอดได้

ขอขอบคุณข้อมูลจาด www.teenee.com

ข้อแตกต่าง ระหว่าง ผู้ชนะ กับ ผู้แพ้

1) ผู้ชนะ : เมื่อพบว่ามีข้อผิดพลาด จะพูดว่า ฉันทำผิดเอง
ผู้แพ้ : เมื่อพบข้อผิดพลาด จะพูดว่า ไม่ใช่ความผิดของฉัน

2) ผู้ชนะ : จะทำงานหนักกว่าปกติ และมีเวลามากกว่าผู้แพ้ 
ผู้แพ้ : จะทำงานแบบยุ่งทั้งวัน โดยที่ไม่คิดว่า งานไหนควรทำก่อน ทำหลัง 

3) ผู้ชนะ : จะเผชิญหน้ากับปัญหาและลงมือแก้ไขปัญหานั้น 
ผู้แพ้ : จะทำในทางตรงข้าม คือหลีกเลี่ยงปัญหา 

4) ผู้ชนะ : จะลงมือทำงานให้ปรากฏผลงานขึ้น 
ผู้แพ้ : จะให้แต่คำสัญญา คือมีแต่ลมปาก แต่ไม่ลงมือ 

5) ผู้ชนะ : จะพูดว่า ฉันทำได้ดี แต่ยังไม่ดีเท่ากับที่ฉันต้องการ  
ผู้แพ้ : จะพูดว่า ยังมีคนอื่นอีกหลายคนที่มีผลงานแย่กว่าตัวเขา  

6) ผู้ชนะ : จะตั้งใจฟัง แล้วทำความเข้าใจ และ สามารถตอบสนองได้ 
ผู้แพ้ : จะรออย่างเดียว โดยไม่ฟัง ไม่ทำความเข้าใจสิ่งที่คนอื่นพูด รอจนกว่าจะถึงคิวที่จะได้พูดเรื่องของตัวเอง

7) ผู้ชนะ : จะยอมรับ นับถือคนที่มีความสามารถเหนือกว่า และจะเรียนรู้จากคนเหล่านั้น
ผู้แพ้ : จะทำในทางตรงข้ามและจะพยายาม หาข้อผิดพลาดของคนที่เหนือกว่าเขา 

8) ผู้ชนะ : จะมีความรับผิดชอบ ไม่เพียงแต่งานที่ได้รับมอบหมายเท่านั้น จะช่วยคิดให้องค์กรประสบความสำเร็จ( ไม่ใช่ไปก้าวก่าย งานคนอื่นนะ ) 
ผู้แพ้ : จะไม่กล้าที่จะช่วยเหลือคนอื่น และ มักจะพูดว่า ฉันไม่ว่าง กำลังทำงานของฉันอยู่

9) ผู้ชนะ : ต้องมีวิธีที่จะทำให้ดีขึ้นได้เสมอ 
ผู้แพ้ : จะพูดว่า นี่คือหนทางเดียวที่ทำได้  

10) ผู้ชนะ : จะแบ่งปันบทความนี้ไปยังเพื่อนๆของเขา 
ผู้แพ้ : จะเก็บบทความนี้เอาไว้ เพราะว่าเขาไม่มีเวลาที่จะแบ่งปันไปให้คนอื่น

ขอขอบคุณข้อมูลจาก  www.teenee.com