10/13/2557

การพัฒนาศักยภาพผู้บริหาร



พนักงานทุกคนในองค์กรจำเป็นต้องได้รับการพัฒนาศักยภาพ ไม่เว้นแม้แต่ระดับผู้บริหารเอง ซึ่งถือเป็นบุคคลสำคัญในการนำพาองค์กรไปสู่เป้าหมาย ฝ่ายพัฒนาบุคลากรจึงต้องมีการจัดทำโปรแกรมพัฒนาศักยภาพผู้บริหารขึ้นโดยแบ่งเป็น 3 ส่วนดังนี้
วางแผนการพัฒนาศักยภาพผู้บริหาร โดยรวบรวมข้อมูลจากคำถามต่อไปนี้ให้ได้เสียก่อน
1.ประโยชน์ที่จะได้รับจากโปรแกรมพัฒนาศักยภาพผู้บริหารที่มีประสิทธิภาพ
2.ถ้าไม่มีโปรแกรมนี้ จะมีค่าใช้จ่ายโดยประมาณเท่าไรสำหรับการเข้า-ออกของพนักงาน ผลผลิตที่ลดลง และกำลังใจในการทำงานที่ลดลง
3.จะวัดผลความสำเร็จของโปรแกรมได้อย่างไร
4.จะใช้เวลา กำลังคน และค่าใช้จ่ายเท่าไรเพื่อลงทุนพัฒนาโปรแกรมดังกล่าว
5.ผู้บริหารที่จะเข้าร่วมโปรแกรมนี้เคยได้รับการฝึกอบรมด้านใดมาแล้วบ้าง
6.พื้นฐานการศึกษาของผู้บริหารเป็นอย่างไร
7.มีประสบการณ์ในสายงานกี่ปี
8.จุดแข็งของผู้บริหารที่มีต่อองค์กรคืออะไร
9.บุคลิกลักษณะของผู้บริหารเป็นอย่างไร
10.สิ่งที่จูงใจผู้บริหารได้ดีที่สุดคืออะไร
กำหนดหัวข้อที่จำเป็นต้องพัฒนาให้เหมาะกับผู้บริหารแต่ละคน เช่น
1.การสื่อสารธุรกิจอย่างมีประสิทธิภาพ
2.ทักษะการแก้ปัญหาความขัดแย้ง
3.การสร้างทีม
4.การร่วมงานกับคนต่างบุคลิกภาพหลากสไตล์
5.การบริหารเวลา
6.ทักษะการมอบหมายงาน
7.การตั้งเป้าหมาย
8.ทักษะการเป็นผู้ชี้แนะ
9.ทักษะอื่น ๆ ที่จำเป็นต่อธุรกิจ
นำโปรแกรมไปใช้กับผู้บริหาร
1.แนะนำโปรแกรมนี้ให้กับผู้บริหารทุกฝ่ายในปัจจุบันได้เข้าร่วม ชี้แจงถึงประโยชน์ที่ผู้บริหารจะได้รับเมื่อเข้าร่วมโปรแกรม
2.แนะนำโปรแกรมนี้ให้แก่ผู้สมัครงานระดับผู้บริหาร เพื่อจูงใจคนเก่งเข้ามาร่วมงาน บอกให้ผู้สมัครทราบว่าองค์กรลงทุนและเห็นความสำคัญของการพัฒนาผู้บริหาร
เพราะทรัพยากรบุคคลเป็นทรัพย์สินที่มีค่ามากที่สุด บริษัทชั้นนำจึงให้ความสำคัญกับการพัฒนาผู้บริหารอย่างต่อเนื่อง โดยโปรแกรมที่มีประสิทธิภาพจะช่วยเพิ่มรายได้ และลดค่าใช้จ่ายขององค์กร ทั้งยังช่วยรักษาพนักงานหัวกะทิขององค์กรไว้ได้อย่างเหนียวแน่น
ข้อมูลจาก
http://th.jobsdb.com/TH/EN/Resources/JobSeekerArticle/leader_developmen?ID=8401

10/10/2557

ปัจจัยสู่ความสำเร็จในการทำงานเป็นทีม

ปัจจัยสู่ความสำเร็จในการทำงานเป็นทีม
การทำงานเป็นทีมนั้นมีความสำคัญต่อผลของงานมาก ถ้ามีทีมเวิร์คทีดีแล้วหล่ะก็รับรองว่าการทำงานทุกอย่างทุกขั้นตอนราบรื่นและประสบผลสำเร็จแน่นอน เพราะการทำงานทุกอย่างต้องได้รับการประสานงานและการร่วมมือที่ดีจากทุกคนในกลุ่มงาน ดังนั้นวันนี้เราจึงมีปัจจัยสู่ความสำเร็จในการทำงานเป็นทีมมาฝากให้ได้อ่านกันค่ะ  
1. บรรยากาศของการทำงานมีความเป็นกันเอง อบอุ่น มีความกระตือรือร้น และสร้างสรรค์ทุกคนช่วยกันทำงานอย่างจริงจัง และจริงใจ ไม่มีร่องรอยที่แสดงให้เห็นถึงความเบื่อหน่าย
2. ความไว้วางใจกัน (Trust) เป็นหัวใจสำคัญของการทำงานเป็นทีม สมาชิกทุกคนในทีมควรไว้วางใจซึ่งกันและกันได้ ซื่อสัตย์ต่อกัน สื่อสารกันอย่างเปิดเผย ไม่มีลับลมคมใน
3. มีการมอบหมายงานอย่างชัดเจน สมาชิกทีมงานเข้าใจวัตถุประสงค์ เป้าหมาย และยอมรับภารกิจหลักของทีมงาน
4. บทบาท (Role) สมาชิกแต่ละคนเข้าใจและปฏิบัติตามบทบาทของตน และเรียนรู้เข้าใจในบทบาทของผู้อื่นในทีม ทุกบทบาทมีความสำคัญ รวมทั้งบทบาทในการช่วยรักษาความเป็นทีมงานให้มั่นคง เช่น การประนีประนอม การอำนวยความสะดวก การให้กำลังใจ เป็นต้น
5.  วิธีการทำงาน (Work Procedure) สิ่งสำคัญที่ควรพิจารณา คือ
5.1  การสื่อความ (Communication) การทำงานเป็นทีมอาศัยบรรยากาศ การสื่อความที่ชัดเจนเหมาะสม ซึ่งจะทำให้ทุกคนกล้าที่จะเปิดใจ แลกเปลี่ยนความคิดเห็น และแลกเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งกันและกัน จนเกิดความเข้าใจ และนำไปสู่การทำงานที่มีประสิทธิภาพ
5.2  การตัดสินใจ (Decision Making) การทำงานเป็นทีมต้องใช้การตัดสินใจร่วมกัน เมื่อเปิดโอกาสให้สมาชิกในทีมแสดงความคิดเห็น และร่วมตัดสินใจแล้ว สมาชิกย่อมเกิดความผูกพันที่จะทำในสิ่งที่ตนเองได้มีส่วนร่วมตั้งแต่ต้น
5.3  ภาวะผู้นำ (Leadership) คือ บุคคลที่ได้รับการยอมรับจากผู้อื่น การทำงานเป็นทีมควรส่งเสริมให้สมาชิกทุกคนได้มีโอกาสแสดงความเป็นผู้นำ (ไม่ใช่ผลัดกันเป็นหัวหน้า) เพื่อให้ทุกคนเกิดความรู้สึกว่าได้รับการยอมรับ จะได้รู้สึกว่าการทำงานเป็นทีมนั้นมีความหมาย ปรารถนาที่จะทำอีก
5.4  การกำหนดกติกา หรือกฎเกณฑ์ต่าง ๆ ที่จะเอื้อต่อการทำงานร่วมกันให้บรรลุเป้าหมาย ควรเปิดโอกาสให้สมาชิกได้มีส่วนร่วม ในการกำหนดกติกา หรือกฎเกณฑ์ที่จะนำมาใช้ร่วมกัน
6. การมีส่วนร่วมในการประเมินผลการทำงานของทีม ทีมงานควรมีการประเมินผลการทำงาน เป็นระยะ ในรูปแบบทั้งไม่เป็นทางการ และเป็นทางการ โดยสมาชิกทุกคนมีส่วนร่วมในการประเมินผลงาน ทำให้สมาชิกได้ทราบความก้าวหน้าของงาน ปัญหา อุปสรรคที่เกิดขึ้น รวมทั้งพัฒนากระบวนการทำงาน หรือการปรับปรุงแก้ไขร่วมกัน ซึ่งในที่สุดสมาชิกจะได้ทราบว่าผลงานบรรลุเป้าหมาย และมีคุณภาพมากน้อยเพียงใด
7. การพัฒนาทีมงานให้เข้มแข็ง
7.1  พัฒนาศักยภาพทีมงาน ด้วยการสร้างแรงจูงใจทางบวก สมาชิกมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน มีการจัดกิจกรรมสร้างพลังทีมงาน เกิดความมุ่งมั่นที่จะทำงานให้ประสบผลสำเร็จ
7.2  การให้รางวัล ปัจจุบันการพิจารณาผลการปฏิบัติงานของหน่วยงานไม่เอื้อต่อการทำงานเป็นทีม ส่วนใหญ่จะพิจารณาผลการทำงานเป็นรายบุคคล ดังนั้นระบบรางวัลที่เอื้อต่อการทำงานเป็นทีม คือ การที่ทุกคนได้รางวัลอย่างยุติธรรมทุกคน คือ ควรสนับสนุนการให้รางวัลแก่การทำงานเป็นทีมในลักษณะที่ว่างอยู่บนพื้นฐานการให้รางวัลกับกลุ่ม (Group base reward system)

เป็นไงค่ะ วิธีที่เรานำมาแนะนำ ไม่ยากเลยใช่ไหมค่ะ ลองปฏิบัติตามกันดู รับรองว่าทีมงานของคุณจะเป็นทีมงานที่มีประสิทธิภาพในการทำงานอย่างแน่นอนค่ะ!!!!

(ข้อมูลจาก  http://my2tum.multiply.com)

9/05/2557

เพื่อนที่ดี



เพื่อนที่พึ่งพาได้เมื่อยามเจ็บป่วย ข้าวยากหมากแพง ถึงความวิบัติ เวลาตาย นับว่าเป็นมิตรที่แท้จริง

คนเราเวลารู้จักคบหากันนั้นก็ยากที่จะรู้จิตใจกันได้ว่าคนนี้จะเป็นเพื่อนที่แท้จริง หรือเป็นศัตรูของเรา อาจจะมาจากหลายสาเหตุก็ได้ เพราะจิตใจของคนเราทุกวันนี้เปลี่ยนเร็วมาก วันนี้เป็นพวกเรา แต่วันพรุ่งนี้อาจจะไปเป็นฝ่ายตรงข้ามก็ได้ เวลาจะคบใครจะต้องระมัดระวังให้มากๆ
ลักษณะของการดูเพื่อนดี คือ เมื่อเจ็บป่วย คนเราจะเห็นใจกันหรือพิสูจน์น้ำใจกันได้ว่าจะมีน้ำใจมาเยี่ยมให้กำลังใจหรือแสดงความห่วงใยกันบ้างหรือเปล่า แม้ว่าความเจ็บป่วยเป็นเรื่องธรรมดาของสังขารก็ตาม แต่เราก็รู้กันอยู่แล้วว่า คนป่วยทุกคนต้องการกำลังใจ จะสังเกตได้ง่ายว่าโรคบางอย่างพอได้กำลังใจ มากๆ ก็หายวันหายคืน แต่ถ้าขาดกำลังใจก็จะทรุดวันทรุดคืนเหมือนกัน
เมื่อข้าวยากหมากแพง เมื่อใดที่ยากจนก็พิสูจน์น้ำใจเพื่อนๆ ได้อีกอย่างหนึ่งว่าจะทิ้งกันหรือเปล่า เพราะจะมีคำพูดติดปากกันอยู่ว่า เพื่อนกินหาง่าย เพื่อนตายหายาก ยามมีเพื่อนก็มอง ยามหมองเพื่อนก็เมิน
เมื่อถึงความวิบัติเสียหาย ไม่ว่าจะเป็นด้านร่างกาย จิตใจ หรือแม้กระทั่งความเป็นอยู่ ก็จะได้เห็นน้ำใจของเพื่อนๆ ได้เป็นอย่างดี ยามที่เราดีเพื่อนมีเยอะ แต่ยามที่เราเกิดความวิบัติเสียหายหรือหมดเนื้อหมดตัว จะมีเพื่อนสักกี่คนที่จะอยู่เคียงข้างเรา เพื่อนที่ดีก็จะต้องไม่ทิ้งกันในยามเกิดความวิบัติ เสียหาย
เวลาตาย การที่เราต้องสูญเสียคนที่เป็นที่รักไม่ว่าพ่อแม่ ญาติพี่น้อง ลูกหรือสามีภรรยาก็ตาม ทุกคนก็คงจะเหมือนกัน คือ ทุกข์เสียใจ ในยามที่เราต้องทุกข์ต้องเสียใจกับการพลัดพรากอย่างนี้ สิ่งที่คนเราต้องการคือกำลังใจ การเห็นอกเห็นใจ เพื่อนจะเป็นทางให้คลายความทุกข์ความเศร้าโศกลงไปบ้าง เพื่อจะได้มีกำลังใจที่จะต้องสู้กับชะตาชีวิตต่อไป
เหล่านี้เป็นลักษณะของเพื่อนที่ดี หรือเพื่อนที่แท้จริง หากใครมีเพื่อนแบบนี้ก็นับว่าเป็นสิ่งที่ดี แต่บางคนชีวิตทั้งชีวิตก็บอกว่าไม่เคยมีเพื่อนที่จริงใจเลย มีแต่เพื่อนที่หลอกลวง มีแต่เพื่อนกิน ไม่เคยมีเพื่อนที่ดีจริงๆ
เพราะฉะนั้นการที่คนเราจะคบกับใครก็ต้องพิจารณาดูดีๆ เพื่อนบางคนทำได้แค่เพียงเป็นเพื่อนที่รู้จักกันเท่านั้นก็พอ ไม่ต้องถลำตัวไปยุ่งเกี่ยวด้วยมาก เพราะบางครั้งเพื่อนก็พาเราเสื่อมเสียได้อย่างมากมาย ความจริงคนเราก็มีทั้งดีและไม่ดี แต่เราก็ควรจะเลือกคบแต่คนดี และสิ่งที่ยึดเหนี่ยวจิตใจคนเราได้มากที่สุดก็คือน้ำใจนั่นเอง ถ้าคนเรามีน้ำใจต่อกันการคบกันเป็นเพื่อนก็จะช่วยสร้างสรรค์สังคมให้เป็นสุข

ขอบคุณข้อมูลจาก :: www.inwza.com

Neurobics ออกกำลังสมองเพื่อความฉับไว


หลายต่อหลายคนมักจะคิดถึงการมีสุขภาพกายที่ดีเป็นอย่างแรก จึงละเลยหรือลืมฝึกสมองในแง่ของความสามารถและความคิดสร้างสรรค์ วันนี้เรามี 10 วิธีการฝึกสมองเพื่อพัฒนาความสามารถและความคิดสร้างสรรค์สำหรับคุณ ด้วย "นิวโรบิกส์" โปรแกรมที่เปรียบเสมือน การฝึกยิมนาสติกให้กับสมอง จะช่วยบริหารเซลล์สมองให้สดชื่นและมีชีวิตชีวายิ่งขึ้นค่ะ
1. หลีกหนีความจำเจ
การหลีกหนีความจำเจ เป็นแก่นแท้ของแนวคิดนิวโรบิกส์ เพราะการทำอะไรซ้ำๆ นอกจากจะทำให้เกิดความเบื่อหน่ายแล้ว สมองก็รู้สึกเบื่อได้เช่นกัน ฉะนั้นจึงควรแสวงหาอะไรใหม่ๆ ทำบ้าง แม้เพียงเล็กน้อยแต่จะสามารถช่วยให้เซลล์ประสาทเกิดการผ่อนคลายหายเครียดจากงานประจำได้ค่ะ
2. ไม่สูดกลิ่นเดิมๆ ซ้ำๆ
ทุกเช้าเมื่อได้กลิ่นกาแฟเดิมๆ ฉีดน้ำหอมกลิ่นเดิมๆ ถ้าจมูกคนเราได้รับกลิ่นเดิมๆ บ่อยเข้า จะทำให้จมูกและประสาทส่วนรับกลิ่นชินชาต่อกลิ่นนั้นได้ค่ะ อีกทั้งการรับกลิ่นอื่นๆ ก็จะด้อยคุณภาพลงไปด้วย
3. รับรสสัมผัสใหม่ๆ
ตอนที่คุณอาบน้ำในอ่างหรืออาบแบบฝักบัว ลองแกล้งลืมถูสบู่ เจลอาบน้ำหรือแชมพูดดูสักครั้งสิคะ อาจจะทำให้การรับรสสัมผัสทางกายดีขึ้นได้
4. เปลี่ยนความถนัดส่วนตัว
คนถนัดมือขวา ก็หันมาลองใช้มือซ้ายดูบ้าง หรือหากถนัดซ้าย ก็ลองใช้มือขวาแทน ไม่ว่าจะหวีผม แปรงฟัน หรือเขียนหนังสือ ซึ่งการได้เปลี่ยนแปลงอะไรที่ซ้ำซากจำเจนั้น ไม่เพียงแค่สนุกสนาน แต่ยังทำให้สมองส่วนต่างๆ แอ็กทีฟขึ้น แล้วคุณก็จะพบว่าการได้ทำอะไรกลับด้านนั้นมันไม่ยากเย็นเหมือนที่คิดไว้เลย
5. หาทางเดินใหม่ ๆ
พยายามหาทางใหม่ๆ เดินเล่น หลีกหนีเส้นทางเก่าที่น่าเบื่อ ไม่ว่าจะเป็นทางไปออฟฟิศหรือทางกลับบ้าน ทำไมไม่ลองเดินผ่านสวนสาธารณะ หรือเปลี่ยนไปใช้เส้นทางอื่นที่ไม่เคยไปดูบ้างล่ะคะ การทำเช่นนี้นอกจากจะช่วยให้สมองของคุณได้มีโอกาสคิดแล้ว คุณยังได้พบกับสิ่งใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลาอีกด้วย
6. ปรับเปลี่ยนสิ่งแวดล้อม
การจัดบ้าน จัดสวน เปลี่ยนเฟอร์นิเจอร์ หาที่แขวนรูปและนาฬิกาใหม่ หรือการพบปะผู้คนใหม่ๆ อย่างสม่ำเสมอก็ช่วยได้ค่ะ ช่วงแรกๆ อาจจะไม่ง่ายนัก แต่คุณจะค่อยๆ ชินไปเอง การปรับเปลี่ยนแบบนี้ทำให้สมองด้านซ้ายซึ่งทำงานทางด้านความคิดสร้างสรรค์มีพัฒนาการที่ดีกว่าเดิมนะคะ
7. เสริมความทรงจำด้วยกลิ่น
ขณะที่พูดโทรศัพท์หรืออ่านหนังสือควรสูดดมกลิ่นน้ำมันหอมระเหยไปด้วย เช่น กลิ่นมิ้นต์หรือกลิ่นมะนาว เพราะกลิ่นดังกล่าวจะมีส่วนช่วยกระตุ้นให้ความจำในรายละเอียดดียิ่งขึ้นค่ะ
8. รับประทานอาหารรสชาติแปลกๆ ทุกๆ วัน
ถ้ามีการรับประทานอาหารที่แปลกไปจากเดิม จะทำให้ประสาทรับรสทำงานได้ดีขึ้น ไม่เชื่อลองไปทางอาหารที่ร้านอาหารเวียตนาม ญี่ปุ่น จีน หรืออินเดียดูบ้างสิคะ กลิ่นและรสชาติของอาหาร ที่แปลกแตกต่างไปจะพลอยทำให้สมองของคุณรู้สึกเหมือนได้ไปท่องเที่ยวในสถานที่แปลกใหม่นั้นด้วย
9. ปิดประสาทรับเสียง
ลองใช้สำลี หรือที่อุดหูโดยเฉพาะ เพื่อฝึกใช้แต่ประสาททางสายตาและทางจมูกดูสักพัก ไม่แน่นะคุณอาจค้นพบความสามารถพิเศษแปลกใหม่ที่คุณไม่คิดว่าจะมีอยู่ในตัวเองก็เป็นได้
10. ใส่ใจในสัมพันธ์แห่งรัก
การหมั่นเติมความรู้สึกที่ดีๆ ให้กับชีวิตคู่ของคุณอยู่เสมอ นอกจากจะช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์ให้แนบแน่นขึ้นแล้ว ยังสามารถช่วยพัฒนาสมองและอารมณ์

แหล่งที่มา
Read more: http://www.novabizz.com/NovaAce/Neurobics.htm#ixzz3UuZJMjBc

8/28/2557

ความรัก 4 แบบ อะไรคือรักแท้?


1.รักตัวกลัวตาย เป็นความรักขั้นพื้นฐานที่สุดของสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าคน และที่เรียกว่าสรรพชีพ สรรพสัตว์ทุกชนิด  สรรพชีพ หมายถึง สิ่งมีชีวิตทั้งหลายซึ่งเราไม่สามารถมองเห็นด้วยตา ทั้งอยู่ในโลกเดียวกันกับเราหรืออยู่ในโลกอื่นออกไป สรรพสัตว์ หมายถึง สัตว์ทั้งปวงที่เรามองเห็นได้ด้วยตา สิ่งมีชีวิตทั้งหมดไม่ว่าจะเรียกว่าคน หรือไม่เรียกว่าคนก็ตาม ล้วนแล้วแต่มีความรักขั้นพื้นฐานคือรักตัวกลัวตาย ความรักอย่างนี้ เป็นความรักอิงสัญชาติญาณการดำรงชีวิตรอด สิ่งมีชีวิตทั้งหมดเกิดมาก็มีความรักชนิดนี้อยู่กับตัวแล้ว แต่ยังไม่ใช่รักแท้ เพราะในแง่ลบมันมีโอกาสสูงมากที่จะกลายเป็นความเห็นแก่ตัว นั่นคือด้วยเหตุที่พยายามจะเอาตัวรอด ก็เป็นเหตุให้ต้องทำร้ายทำลายชีวิตอื่นดังนั้นความรักตัวกลัวตายจึงไม่เพียงพอ และยังไม่ใช่รักที่แท้ ต้องพัฒนาต่อไป

2.รักใคร่ปรารถนา เป็นความรักในเชิงชู้สาว เกิดขึ้นทั้งกับคนและกับสิ่งมีชีวิตทั้งหลายทั้งปวง ซึ่งคือสรรพชีพ สรรพสัตว์ทั้งหลาย ที่มีความผูกพันกันในเชิงชู้สาว ความรักชนิดนี้อิงอยู่กับสัญชาตญาณการสืบพันธุ์ แท้ที่จริงรากฐานของความรักชนิดนี้ก็มาจากความรักชนิดที่ 1 คือ รักตัวกลัวตายนั่นเอง แต่ว่าประณีตขึ้น แสดงออกละเมียดละไมมากขึ้น ดูเหมือนว่าแทนที่จะรักตัวกลัวตายอย่างเดียว ก็เผื่อแผ่ใจออกไปรักคนอื่นด้วยแต่แท้ที่จริงที่รักคนอื่นก็เพื่อให้คนอื่นนั้นมารักตัวเอง หากมองอย่างลึกซึ้ง รักใคร่ปรารถนาก็ยังเป็นความรักที่มีความเห็นแก่ตัวปนอยู่นั่นเอง ฉะนั้นรักใคร่ปรารถนาจึงยังไม่พอ

3. รักเมตตาอารี ความรักอิงความผูกพันทางสายเลือด นามสกุล ศาสนา ชาติพันธุ์ ชนชั้นวรรณะ ภาษาและวัฒนธรรม พูดง่ายๆว่า เป็นความรักที่เกิดขึ้นจากการที่มนุษย์และสรรพสัตว์ทั้งหลาย ตระหนักรู้ว่าผู้ที่ร่วมสายพันธุ์เดียวกันกับตนนั้นเป็นพวกเดียวกันกับตน ความรักชนิดนี้บางครั้งเราก็เรียกว่า ความรักอิงสายเลือดบ้าง ความรักอิงความเมตตาบ้าง เช่น พ่อแม่รักลูก ครูบาอาจารย์รักลูกศิษย์ เพื่อนรักเพื่อน นายรักลูกน้อง มนุษย์ด้วยกันรักมนุษย์ สัตว์ด้วยกันรักสัตว์ คนชาติเดียวกันรักคนชาติเดียวกัน เช่นคนไทยรักคนไทยมากกว่าฝรั่ง ฝรั่งก็จะรักฝรั่งมากกว่าคนไทย จีนก็จะรักจีนมากกว่าแขก นี่เรียกว่ารักเมตตาอารี แม้จะเป็นความรักที่มีรากฐานอยู่บนพื้นฐานของความเมตตา แต่ก็ยังไม่ปลอดภัยอยู่นั่นเอง เพราะยังมีข้อจำกัดว่าเลือกรักเลือกเมตตาเฉพาะเผ่าพันธุ์พงศสคณาญาติของตน แม้จะดูกว้างขวางแต่ก็ยังไปไม่พ้นพรมแดนของการถือเขาถือเราอยู่นั่นเอง

4. รักมีแต่ให้ เป็นความรักของมนุษย์ผู้ที่ได้ค้นพบภาวะความเป็นผู้รู้ผู้ตื่นผู้เบิกบานในหัวใจอย่างลึกซึ้ง แล้วหลุดพ้นจากกิเลสขึ้นมากลายเป็นอารยชน ความรักชนิดนี้เกิดขึ้นจากการมองเห็นความไร้แก่นสารหรือความไม่มีตัวตนของตนเอง จึงไม่มีตัวตนไว้สำหรับเห็นแก่ตัว เมื่อไม่เห็นแก่ตัว จึงเห็นแก่โลกทั้งผอง หัวใจไร้พรมแดน เกิดเป็นความรักขั้นสูงสุด มองคน มองสรรพชีพ มองสรรพสัตว์ทั้งหลายในลักษณะโลกทั้งผองพี่น้องกัน ความรักชนิดนี้เป็นความรักแท้ เปิดเผย บริสุทธิ์ จริงใจ โดยไม่เรียกร้องการตอบแทน เปรียบเสมือนแสงเดือนแสงตะวันที่สาดโลมผืนโลกโดยไม่เคยเรียกร้องสิ่งตอบแทน เปรียบเสมือนสายฝนและดงดอกไม้ที่ชโลมผืนโลก ให้ความชุ่มชื่นเย็น งดงาม และไม่ต้องการให้ใครมองเห็นคุโณปการของตัวเอง เป็นดอกไม้ก็ส่งกลิ่นหอม แล้วร่วงโรยไปตามวันเวลาอย่างสงบเงียบ ไม่ปรารถนาจะเป็นที่ปรากฎอะไร

ธรรมะ โดย: พระมหาวุฒิชัย (ว.วชิรเมธี)

ขอบคุณข้อมูลจาก :: www.inwza.com

8/21/2557

บันได 5 ขั้น พัฒนาสู่ความสุข


บันได 5 ขั้น พัฒนาสู่ความสุข
บันไดขั้นที่ 1 มองตัวเองว่าดีและมีค่าทุกวัน ในแต่ละวันให้นึกถึงความดี และความโชคดีของตนเอง เริ่มต้นด้วยการตื่นนอนตอนเช้า ให้ยิ้มกับตัวเอง และนึกว่าโชคดี
ที่ได้ตื่นขึ้นมาแล้ว ให้นึกถึงความดีของตนเองที่เคยทำมาแล้วในอดีต (ที่สามารถนึกได้ง่าย ๆ) เช่น เคยทำบุญ เคยช่วยคนที่อ่อนแอกว่า เคยสงเคราะห์สัตว์ ฯลฯ คิดว่าตัวเองดี
และมีคุณค่าที่ได้เคยทำสิ่งดี ๆ และให้นึกซ้ำ ๆ จะได้เกิดความเชื่อตามที่นึกนั้น คุณก็จะเกิดความอิ่มเอิบใจ และเชื่อว่าตัวเองมีความดี ความเก่ง ตามความเป็นจริงในขณะนั้น
ด้วย คุณจะเกิดความอยากมีชีวิตอยู่ และสร้างสิ่งที่ดี ๆ ให้กับชีวิตต่อไป และต้องอวยพรตัวเองเสมอ ๆ อย่าแช่ง หรือตำหนิตัวเอง และอย่ารอให้คนอื่นมาชื่นชมคุณ ซึ่งมักจะไม่ได้
ดั่งใจ หรือได้มาก็ไม่สมใจ
บันไดขั้นที่ 2 มองคนอื่นดี มองโลกในแง่ดี ขั้นนี้คุณจะต้องมองว่าทุก ๆ คน มีขีดจำกัดของความสามารถ ความดี ความเก่งกันทุกคน ตามความเป็นจริงของเขา ซึ่งไม่
เท่ากัน และไม่เหมือนกันเลย ส่วนความไม่ดี หรือไม่เก่งของเขา (ซึ่งมีกันทุกคน) ปล่อยให้เป็นเรื่องของเขาไป ให้มองเฉพาะส่วนที่ดีของเขาเท่านั้น ถ้าคุณทำได้เช่นนี้ คุณก็จะ
เป็นคนที่มองอนาคต และชีวิตดี มีความหวังที่ดีในชีวิตตลอดเวลา สองสิ่งนี้ ถ้าคุณทำเป็นนิสัย คุณจะพบว่า โลกนี้มีสิ่งที่ดี ๆ และไม่ยอมแพ้ต่ออุปสรรคต่าง ๆ และท้ายที่สุดก็จะ
กลายเป็นสุขนิยมทั้งชีวิต
บันไดขั้นที่ 3 ทำวันนี้ให้ดีที่สุด คือการอยู่กับปัจจุบัน ทำกิจกรรมในวันนี้และเวลานี้ให้ดีที่สุด ทำได้แค่ไหนเอาแค่นั้น ไม่ทุกข์ร้อน หรือคาดหวังกับผลลัพธ์ของมัน ไม่ว่า
จะสมใจ หรือไม่สมใจก็ตาม จงชื่นชมในความตั้งใจทำเต็มความสามารถของตนเอง และคิดต่อว่า ในอนาคตจะต้องทำให้ดีกว่านี้ นอกจากนั้น คุณต้องเลิกจดจำ หรือนึกถึงเรื่อง
ที่ไม่ดีที่เกิดกับคุณในอดีต เพราะการจดจำเรื่องราวที่ไม่ดีในอดีต เท่ากับคุณไปสะกิดแผลในใจ และจะทำให้คุณเจ็บปวดมากยิ่งขึ้น จนส่งผลให้ปัจจุบันคุณไม่มีความสุข และ
กลัวว่าอนาคตจะเกิดสิ่งที่ไม่ดีซ้ำ ๆ อีก
บันไดขั้นที่ 4 มีความหวังและเชื่อว่าอนาคตจะดีเสมอ ความหวัง ความเชื่อ เกิดจากความคิดถึงบ่อย ๆ หรือได้ยินบ่อย ๆ จงนึกและบอกกับตัวเองเสมอว่า อนาคตจะ
ดีขึ้นอีกเรื่อย ๆ จะส่งผลให้เกิดกำลังใจมากขึ้น อยากพบเห็นสิ่งต่าง ๆ ที่จะเข้ามาในชีวิตโดยไม่กลัว มีอารมณ์ขัน และไม่จริงจังกับชีวิตมากนัก แต่จะมีความหวังที่ดี ๆ (Good Hope) อยู่เสมอ แต่อย่ามีความคาดหวัง (Expectation) กับชีวิต เพราะถ้าคาดหวังกับชีวิต เรามักจะกลัว หรือกังวลว่าจะไม่ได้ผลลัพธ์ดังความคาดหวัง หรือเมื่อได้มาแล้วก็มักไม่พอใจ จึงอาจทำให้เกิดทุกข์ได้    
บันได้ขั้นที่ 5 ปรับปรุงตัวเองเสมอ โดยปรับปรุง 4 ส่วนที่มีความสำคัญต่อชีวิตคือ
          1. การงาน ให้มีความขยัน อดทน หมั่นหาความรู้ใส่ตัว และกล้าลงมือปฏิบัติในสิ่งที่ควรทำ จะทำให้มีการลงมือทำสิ่งใหม่ ๆ ในชีวิตได้เรื่อย ๆ และปรากฏเป็นผลงาน
ที่ชัดเจน
          2. ครอบครัว จะต้องยึดหลักที่เป็นมงคลต่อกันคือ ไม่อิจฉา ไม่ระแวง ไม่แข่งขัน ไม่นอกใจ รู้จักการให้และการอภัย มีน้ำใจ และรู้จักเกรงใจกัน
          3. สังคม หมั่นสร้างมิตรเสมอ มีการให้ความสำคัญกัน ให้ความช่วยเหลือซึ่งกันและกัน และพูดจากันแบบปิยะวาจา
          4. ตนเอง ต้องมีการพัฒนาตนเองเสมอ มีความภูมิใจตนเองตามความเป็นจริง สามารถให้กำลังใจตัวเองได้ และมีกำลังใจที่พร้อมจะเปลี่ยนแปลงตนเองไปในทางที่ดีขึ้น
          เมื่อบุคลากรขององค์กรแต่ละบุคคลได้ใช้ชีวิตการทำงานอยู่กับสิ่งที่ตนเองพอใจก็จะทำให้มีสภาพจิตใจ และอารมณ์ที่ดี ซึ่งส่งผลให้ทำงานดีตามไปด้วย ดังนั้น จึงจำเป็น
อย่างยิ่งที่แต่ละองค์การจะต้องศึกษาหรือแสวงหาหนทางให้เกิดความสอดคล้องต้องกันของความพึงพอใจระหว่าง พนักงานและองค์การ เพื่อให้องค์การสามารถบรรลุเป้าหมาย
สูงสุด
 ข้อมูล จาก www.stou.ac.th/study/sumrit/8-57(500)/page1-8-57(500).html

7/23/2557

ความสุขที่ถูกมองข้าม





บ่อเกิดแห่งความสุขมีอยู่กับเราทุกคนในขณะนี้อยู่แล้ว
เพียงแต่เรามองข้ามไปหรือไม่รู้จักใช้เท่านั้น
เมื่อใดที่เรามีความทุกข์ แทนที่จะมองหาสิ่งนอกตัว
ลองพิจารณาสิ่งที่เรามีอยู่และเป็นอยู่
ไม่ว่า มิตรภาพ ครอบครัว สุขภาพ ทรัพย์สิน รวมทั้งจิตใจของเรา
ล้วนสามารถบันดาลความสุขให้แก่เราได้ทั้งนั้น
ขอเพียงแต่เรารู้จักชื่นชม รู้จักมอง และจัดการอย่างถูกต้องเท่านั้น

แทนที่จะแสวงหาแต่ความสุขจากการได้
ลองหันมาแสวงหาความสุขจากการ มี หรือจากสิ่งที่มี
ขั้นต่อไปคือการแสวงหาความสุขจากการ ให้
กล่าวคือยิ่งให้ความสุข ก็ยิ่งได้รับความสุข
สุขเพราะเห็นน้ำตาของผู้อื่นเปลี่ยนเป็นรอยยิ้ม
และสุขเพราะภาคภูมิใจที่ได้ทำความดีและทำให้ชีวิตมีความหมาย
จากจุดนั้นแหละก็ไม่ยากที่เราจะค้นพบความสุขจากการไม่มี
นั่นคือสุขจากการปล่อยวาง ไม่ยึดถือในสิ่งที่มี
และเพราะเหตุนั้น แม้ไม่มีหรือสูญเสียไป ก็ยังเป็นสุขอยู่ได้
เกิดมาทั้งที น่าจะมีโอกาสได้สัมผัสกับความสุขจากการให้
และ การไม่มี เพราะนั่นคือสุขที่สงบเย็นและยั่งยืนอย่างแท้จริง


ธรรมะ โดย พระไพศาล วิสาโล
ขอบคุณข้อมูลจาก :: www.inwza.com