คนที่ทำงานด้านการพัฒนาและฝึกอบรมคงไม่ปฏิเสธว่าไม่รู้จักคำๆนี้ บางองค์กรแปลคำนี้ว่า "เส้นทางความก้าวหน้าในการฝึกอบรม" หรือ "แผนที่ความก้าวหน้าในการพัฒนาบุคลากร" หรือ "แผนที่เส้นทางเพื่อการพัฒนาและฝึกอบรม" และอาจจะมีชื่อเรียกอื่นๆที่แตกต่างกันออกไป แต่ประเด็นเรื่องการเรียกชื่อนี้ไม่ใช่สาระสำคัญอะไรมากนัก เพราะทุกชื่อยังอยู่บนหลักการเดียวกัน
TRAINING ROAD MAP หมายถึง เอกสารที่กำหนดเส้นทางการพัฒนาและฝึกอบรมของบุคลากรแต่ละตำแหน่งว่าเขาควรจะได้รับการพัฒนาและฝึกอบรมเรื่องอะไรบ้าง ควรจะอบรมเมื่อไหร่ อบรมอะไรก่อน อะไรหลัง
TRAINING ROAD MAP จึงถือเป็นเครื่องมือการบริหารจัดการด้านการพัฒนาและฝึกอบรมที่สำคัญอย่างหนึ่ง เพราะถ้าองค์กรใดไม่จัดทำเรื่องนี้ขึ้นมา ก็เท่ากับว่าการพัฒนาและฝึกอบรมขาดกรอบในการดำเนินงาน ไม่สามารถตอบคำถามได้ว่าทำไมคนๆนี้ต้องอบรมเรื่องนั้น ทำไมตำแหน่งงานนั้นต้องอบรมเรื่องนี้ ทำไมต้องอบรมหลักสูตรนั้นก่อนที่จะเข้าอบรมหลักสูตรนี้ ฯลฯ ซึ่งขณะนี้ภาคเอกชนหลายบริษัท ได้นำเครื่องมือนี้มาใช้ในการพัฒนาบุคลากรมานานแล้ว สำหรับภาคราชการจากการค้นคว้า พบว่า มีบางหน่วยงานได้นำมาใช้เช่นเดียวกัน หากแต่ยังกำหนดไม่ชัดเจนเป็นรูปธรรมเหมือนภาคเอกชน
สำหรับการจัดทำ TRAINING ROAD MAP จากการศึกษาค้นคว้าข้อมูล พบว่า ส่วนประกอบของหลักสูตรการพัฒนาและฝึกอบรมใน TRAINING ROAD MAP จะแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มหลัก ดังนี้
1. ตำแหน่งงานนี้ต้องอบรมเรื่องอะไรบ้าง จึงจะทำงานนี้ได้? (On the Job Training/Job Requirements)
2. ตำแหน่งงานนี้จะควรจะอบรมเรื่องอะไรบ้าง จึงจะพัฒนาและปรับปรุงงานได้? (Job Enhancement)
3. ตำแหน่งงานนี้จะควรจะอบรมเรื่องอะไรบ้าง จึงจะสามารถเติบโตขึ้นไปในตำแหน่งหน้าที่การงานที่สูงขึ้นไปได้? (Career Development)
จากองค์ประกอบของหลักสูตรดังกล่าวข้างต้น จะเห็นได้ว่า การจัดทำ TRAINING ROAD MAP จึงถือได้ว่าเป็นฐานรากที่สำคัญของการพัฒนาบุคลากร โดยเฉพาะการนำไปพัฒนาบุคลากรเป็นรายบุคคลให้เหมาะสมและสอดคล้องกับแผนกลยุทธ์ในการพัฒนาบุคลากรขององค์กร สอดคล้องกับเส้นทางความก้าวหน้าในอาชีพ (Career Path) และสอดคล้องกับข้อกำหนดของมาตรฐานสากลต่างๆ ที่นับวันจะยิ่งลงลึกลงมาในเรื่องของการพัฒนาบุคลากรเพิ่มมากยิ่งขึ้น องค์กรใดสามารถจัดทำระบบนี้ขึ้นมาได้ จะช่วยลดความวุ่นวายและสับสนในการพัฒนาคนลงได้มากเลยที่เดียว และหากองค์กรใดจะนำเครื่องมือนี้ไปใช้ ก็คงต้องปรับให้เข้ากับหน่วยงานของตนเอง ตลอดจนสังคม และวัฒนธรรมขององค์กรต่อไป